วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปกรณัม : ลินเนจ 2 บทที่ 8 พันธมิตรกลับกลายเป็นศัตรู

จริงดังคำพูดอันเจ็บแสบของออค บัดนี้ เหล่าเอลฟ์ต้องเผชิญกับการคุกคามครั้งใหม่
ที่น่ากลัวกว่าครั้งไหนๆ

"กองทัพมนุษย์"

           จากการการทำสงครามที่ยาวนาน เหล่าเอลฟ์ ต่างเหนื่อย และ อ่อนแรงลงไปมาก
ผิดกับมนุษย์ที่กล้าแข็งด้วยพลังแห่งเวทย์มนต์ มนุษย์ ลุกขึ้นตั้งตน ต่อต้านเอลฟ์

เพลานั้นสายเกินไปเสียแล้ว...สิ่งที่เอลฟ์ำได้ฟูมฟักขึ้นมาเคียงคู่ คือ ปิศาจร้าย

และสงครามที่น่ากลัวที่สุดรองลงมาจากสงครามของเหล่าเทพเจ้า...

สงครามเวทย์มนต์  

             มหาเวทย์ทั้งหลายที่เข้าปะทะกันทำให้แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่นและก่อ วินาศกรรม
ครั้งใหญ่ จากการปะทะกันของพลังเวทย์ก็คือผืนป่าที่อุดมสมบรูณ์ที่สุด กลับกลายเป็น
Sea of spore

ละอองพิษรานี้ ทำให้เกิดเห็ดพิษเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ปกคลุม และ ทำท่า
จะลุกล่ามไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหล่าผู้คนในสงคราม ได้รับผลกระทบเหมือนดังโรคร้ายที่
รักษาไม่หาย และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ ดินแดนพื้นป่า แห่งนี้ความจริงได้รับการดูแลจาก
แมงมุม ออร์เฟน ซึ่งเป็นน้องสาวของแมงมุมเนรูฟา ในช่วงที่ทำสงคราม ออร์เฟรได้เดิน
ทางมาหาเนรูฟาพอดี  ผู้ดูแล ต้นไม้มารดา เนรูฟา เคยได้รับคำทำนายไว้เมื่อนานมาแล้วว่า
เมื่อสงครามมนุษย์ กับเอลฟ์เกิด ห้ามให้น้องสาวกลับไปยังบ้านเกิดเป็นอันขาด แต่ เขาไม่ได้
ห้ามน้องสาวเอาไว้  และเมื่อคิดจะห้าม ทุกอย่างดูเหมือนจะสายเกินไป ออร์เฟนกลับมายัง
บ้านเกิดแล้ว จากพื้นป่าที่อุดมสมบรูณ์กลักลายเป็นทะเลสีขาของเชื่้อรา ต้นไม้ตายทั้งป่า
แม้แต่แม่น้ำและอากาศก็ดูเหมือนจะเน่าเสีย ไปจนหมด  กว่าเนรูฟาจะตามมาถึง...

ออร์เฟน ก็วิปลาศ ไล่ฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างไปเสียแล้ว




       สงครามยังคงดำเนินต่อไป พวกเอลฟ์นั้นอ่อนล้าเกินกว่าจะยับยั้งกำลังของมนุษย์ได้
พวกเขาถูกขับให้ถอยร้นไปอย่างช้าๆจนถึง ร่มเงาของป่าอันปลอดภัย  พวกเขาเตรียมการณ์
สำหรับสงครามครั้งสุดท้าย ในพื้นป่าแห่งนี้ อำนาจของเอลฟ์จะแสดงพลังถึงขีดสุด และ
เขาจะใช้ความได้เปรียบนี้เอาชัยชนะกลับคืนมา

       พวกเอลฟ์ขุดอุโมงค์ลึกลงไป  หรือ ปราการใต้ดินเอลฟ์



ที่นั้นจะคอยสะท้อนเสียงอาวุธ และเสียงตะโกนอย่างรวดเร็ว ทำให้เอลฟ์ได้เปรียบ
แต่ ทว่าชัยชนะทั้งหมดกลับยังตกไปเป็นของพวกมนุษย์...

ตลอดสามเดือนแห่งการโอบล้อม ไม่ว่าจะเป็นความภูมิใจในเผ่าพันะืของเอลฟ์
อำนาจแห่งป่าของเอลฟ์ หรือแม้กระทั่ง อำนาจแห่งเวทย์มนต์ ที่เหนือกว่าของเอลฟ์
ไม่สามารถต้านทาน กับกระแสกองกำลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ได้ เอลฟ์ต้องประสพ
กับความเสียหายครั้งใหญ่

ท้ายที่สุด พวกเขาได้หลบลึกเร้นกายเข้าไปกลางป่า ก่อนล่าถอยพวกเขาได้ร่ายเวทย์มนต์
อาณาเขตคุ้มครองอันแข็งแกร่งขึ้นรอบๆบริเวณป่าของพวกเขา มิให้เผ่าอื่นล่วงล้ำเข้ามาได้
ในนามที่พวกเรารู้จักกันว่า "ป่าเอลฟ์"

เหตุนี้เอง... มนุษย์จึงกลายเป็นผู้พิชิตเหนื่อดินแดนทั้งหมด



ปกรณัม : ลินเนจ 2 บทที่ 6 ภายหลังสงคราม

ย้อนกลับมาสู่กองไฟอีกครั้ง... ชายนิรนามได้หยุดเรื่องเล่าของเขาเอาไว้

               พวกเราไม่ได้ขยับเขยือนเลย ในขณะที่เขาเล่าถึงประวัติศาตร์ของพวกเรา
แม้น้ำเสียงของนักเล่านิทานจะเบาบาง แต่พวกเรากลับรู้สึกได้ว่ามันดังกึกก้อง
อยู่ในหัวตลอดราวกับกำลัง ร่ายมนต์    สงครามที่เขาเล่า ต่างจาก เทพปกรณัมที่เรารู้จัก
อย่างสิ้นเชิง แต่เรากลับไม่มีใครคัดค้านแต่กลับรู้สึก ถูกดึงดูด  ด้วยเรื่องเล่าของเขา
และเรารู้สึกกดดัน ตึงเครียม ร่วมทั้งหวาดกลัวต่อชายผู้นี้ เมือนกฮุกโฉบผ่านเราถึงกับสะดุ้ง
กับเสียงกระพือปีกที่ดังขึ้น

             บุรุษนิรนามหัวเราะเบาๆก่อนยกปล้องยาสูบในมือขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก

"อย่าเพิ่งมองข้ามเรื่องที่ข้าเล่า เพราะมันต่างจากสิ่งที่ท่านเคยรู้เกี่ยวกับเทพเจ้า
เพราะมันไม่มีข้อมูลอะไรเลยจะมา พิสูจน์ได้ ว่า บรรดานักบวชของพวกท่าน
จะมีความรู้มากกว่า กวีพเนจรผู้หนึ่ง..."


หลังจากที่โลกได้ตกเข้าสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่... 


           และการหายสาปสูญอย่างกะทันหันของเหล่ายักษ์ ที่เคยเป็นผู้ปกครองเผ่าพันธ์
ทั้งหมดเอลฟ์ ออค ดรอฟ และมนุษย์ จึงได้พบความจริงว่า พวกเขาเคยชินกับการถูก
ปกครองและเป็นเรื่องที่ยากลำบากในการปกครองตนเอง  และที่สุดของการเปลี่ยนแปลง
อันน่าตระหนกคือโลกของเรา เสียหายจาก ค้อนแห่งความสิ้นหวัง มีหลายชีวิต ตายใน
หายนะจากน้ำมือของไอฮัดซัส และมากกว่านั้น เหล่า เผ่าพันะืที่เหลือ เฝ้าวิงวอนร้องขอ
การชี้นำจากเทพเจ้า แต่ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ

             ในสถานการณ์ที่อลหม่าลเช่นนี้ เอลฟ์เป็นพวกแรก ที่เข้ามาจัดการทุกอย่างให้
เขารูปเข้ารอย พวกเขาได้รับหน้าที่ให้รับผิดชอบการปกครอง มาตั้งแต่สมัยยังอยู่กับยักษ์
แต่หลังจากการปกครองของเอลฟ์ไม่นาน พวกเขาก้รู้ว่าเอลฟ์ไม่ได้มีศักกายภาพเท่ากับ
ยักษ์ที่เคยมี เผ่าพันธ์แรก  ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านเอลฟ์ก็คือ ออค

"เอลฟ์แข็งแกร่งเช่นนั้นหรือ ไม่เลย !แล้วเอลฟ์ มีสิทธ์อะไรมาปกครองพวกเรา หรือ
ไม่เลย! เราจะไม่ยอมให้พวกอ่อนแอ มาบังอาจอยุ่เหนือเราอีกต่อไป"



กองกำลังของออคช่างทลงพลังยิ่งนัก เผ่าพันธ์ของเอลฟ์ที่รักสันติ ย่อมไม่อาจ ต่อกร
กับออค ผู้ทรงพลังได้ ในไม่นาน ดินแดนเกือบทั้งหมดก็ตกอยู่ในการควบคุมของออค

ออคได้ไล่เอลฟ์ มาจนเกือบสุดแผ่นดิน ที่นั้น เอลฟ์ได้ร้องขอความร่วมมือจาก ดรอฟ
ผู้มั่งคั่งด้วยยุทโธปกณ์ชั้นเยียม

          "มาเถิด เผ่าพันธ์แห่งปฐพีเอ่ย มาร่วมมือกับเราเถิด ฝูงออคผู้โหดร้าย ปฏิบัติกับ
เราอย่างทารุณด้วยพลังของพวกเขา พวกเรามาร่วมมือกันต่อสุ้พวกนั้นเถิด"

เอลฟ์ พยายามโน้มน้าว เผ่าพันธ์ดรอฟ

แต่....เหล่าดรอฟ ปฎิเสธ   ในเวลานี้อำนาจทั้งหลายได้ตกไปอยู่ที่ออคจนหมดสิ้นแล้ว

ไม่มีเหตุใด ที่ดรอฟอย่างเขาจะต้องไปร่วมมือกับพวกอ่อนแอ
นั้น ยิ่งทำให้เหล่า เอลฟ์เจ็บแค้น ในคำตอบของดรอฟยิ่งนัก แต่เอลฟ์ก็ยังไม่ตัดใจ
พวกเขาไปขอร่วทมือกับชนเผ่าวายุ อาเทียส ด้วยทักษะ การลาดตระเวน และ
พลังโจมตีจากสายลม ทางอากาศ ของพวกเขานั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เอลฟ์
พิชิตชัยเหนื่อพวกออค แล้วแต่ก็เช่นเคย อาเทียส ไม่สนใจเรื่องราวใดๆบนโลก
ร่วมถึงสงครามครั้งนี้ด้วย พวกเขาค่อยๆลี้หายไปซ่อนตัวลึกกลางแผ่นดิน
นั้นยิ่งทำให้ เอลฟ์ เจ็บปวดหัวใจอีกครั้ง

"อนิจจา...หรือ เผ่าพันธ์เอลฟ์ ของเรา จะเดินทางมาถึงจุดจบเสียแล้ว..."

ในขณะที่ ราชาของเอลฟ์กำลัง ตัดเพ้อต่อโชคชะตา ได้มีบุรุษผู้หนึ่งเดินมาอยู่
เบืองหน้าของราชาแห่งเอลฟ์ ชายผู้นั้นก้มหัวคุกเข่าลง  ชายคนนี้สวมมงกุฎกิ่งไม้
เขาคือตัวแทน ของ ชาวมนุษย์

อะฮ้า นี้เจ้ามนุษยืผุ้ต่ำต้อย นี้แม้แต่เจ้า ก็มาเยาะเย้ย สภาพที่สิ้นหวังของเราด้วยหรือนี้
กษัติย์เอลฟ์ ถาม

ผุ้นำชาวมนุษย์ค้อมศีรษะลง และกล่าววาจา

                 "ไม่ใช่เช่นนั้น กษัตริย์ผู้ปรีชา พวกข้านำกำลังอันอ่อนแอของพวกเรามา
เพื่อเป็นประโยชน์อันใดได้บ้าง"

เหล่าเอลฟ์ปลื้มปิติเป็นอันมาก แม้เผ่าพันะืมนุษยืจะอ่อนแอ แต่ก็มากด้วยจำนวน
อันมากมายของพวกเขา สามารถช่วยเหลือที่ดีในการศึก

                 "ช่างน่าสรรเสริญเหลือเกิน กษัติย์มนุษย์ ...พวกท่านอาจไม่ได้มี ความ
สลักสำคัญอะไรนัก แต่การอุทิศตนด้วยความซื่อสัตย์และความเต็มใจที่จะเสียสละชีวิต
ช่างน่ายกย่อง จงไปสู้ศึกและคว้าชัยมาให้ได้ แล้วพวกเราจะมายืนเคียงข้างกันอย่าง
เท่าเทียม กับเราชาวเอลฟ์"

กษัติย์มนุษย์ค้อมกายต่ำอีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้น สบกันกับกษัติย์เอลฟ์

                 "กษัยติย์เอลฟ์ ผู้สูงส่งเหนือผู้ใด " เขากล่าวขึ้น

                  "เราชาวมนุษย์ มีเรืองอยากจะขอร้องท่านเรื่องหนึ่งก่อนจะออกไปสู้เพื่อชัยชนะ
อันรุ่งโรจญ์ของเอลฟ์"

                   "อย่างที่ท่านรู้ เราอ่อนแอยิ่งนัก ฟันของเราไม่สามารถแม้แต่จะสร้างรอยขวน
ให้กับผิวหนังของออคเล็บของพวกเราก็ไร้ประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อของพวกเขา

ถ้าเช่นนั้นเจ้าปราถนาสิ่งใดจากเราเล่า ชาวมนุษย์....

                  "ได้โปรด... ช่วยสอนเวทย์มนต์ ของพวกท่านให้แก่พวกข้าด้วย"

กษัยติย์เอลฟ์ ตกใจ และเดือดดาลเป็นอันมาก ด้วยเวทย์มนต์นี้ คือบทเพลง... เป็นพลัง
ที่สืบทอดโดยตรงจากอีวา เทพีแห่งน้ำ และคำขอของนี้  มันไม่ต่างกับคำพูดสั้นๆว่า

" เอาพลังของท่านให้กับเรา"

                  "สอนเวทย์มนต์ให้กับมนุษย์นะเหรอ !ไม่มีวัน! "

เหล่าเอลฟ์ทั้งหลาย ร่ายเวทย์มนต์ ที่จะทำลายมนุษย์ตรงหน้า ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
หากแต่ต้องหยุดด้วยคำของเวโรน่า ผู้นำของชาวเอลฟ์ นางยื่นมาเข้าไกล้เกลี่ย
นางรู้สึกได้ว่าคำขอร้องนั้นไม่ใช่ค่ำขู่ และ สมควรได้รับเกียรติตามที่ขอ
มนุษย์ในเพลานั้น อ่อนแอเหลือเกิน ช่างน่าสงสัยยิ่งนักว่าพวกเขาจะเอาชนะออค
ได้อย่างไร หากปราศจากการช่วยเหลือ

แม้จะตกลงกันได้  แต่ด้วยจิตใจ อันต่ำต้อยนั้น 
ไม่อาจ แม้แต่จะเรียนรู้เวทย์มนต์เสียด้วยซ้ำ...





ปกรณัม : ลินเนจ 2 บทที่ 7พันธมิตรใหม่

ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่อาจเรียนรู้เวทย์มนต์ได้นั้น เวโอร่า ต้องตัดสินใจ
ทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มนุษย์เรียนรู้เวทย์มนต์ได้

ในที่สุดมนุษย์ ก็สามารถเรียนรู้เวทย์มนต์อันซับซ้อนได้ โดยแลกกับ ชีวิตของ เวโอล่า



         ในตอนนี้เอง ที่ศักกายภาพ ที่ถูกซ้อนเร้นของมนุษย์ ปรากฏขึ้น
พวกเขาสามารถ ซึมซับ และ เรียนรู้เวทย์มนต์ ได้รวดเร็วกว่าที่เหล่าเอลฟ์ คาดการณ์
ไว้มาก แม้ร่างกายของมนุษย์จะไม่แข็งแกร่งอย่างออค แต่ เนืองจากพวกเขาถูกใช้
แรงงาน  ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา และ พวกเขายัง ต่อสู้กันเองภายในเผ่าเสมอ
ทำให้  สองมือของเขากวัดแกว่งอาวุธต่างๆได้อย่างชำนาญ และด้วยจำนวนที่มหาศาล
ตอนนี้ มนุษย์ได้กลายเป็นกองทัพที่น่าเกรงกลัวที่สุดในเวลาอันสั้น

        ด้วยกำลัง พันธมิตรของเอลฟ์ และ มนุษย์ พวกเขาค่อยๆชิงชัยจากออค
มา ทีละน้อย และเมื่อความได้เปรียบกลับมาเป็นของพันธมิตร ฝ่าย ดรอฟเองจึงเอนเอียง
หันมาสร้างยุทโธปกณ์ต่างๆ ให้แก่พวกมนุษย์



        ด้วย เกราะที่แข็งแกร่ง และอาวุธ ที่คมกล้า จากฝีมือดรอฟ และ เวทย์มนต์จาก
เอลฟ์ ในช่วงท้ายของสงคราม มนุษย์ สามารถโค่น กองทัพ ออคได้ โดยไม่จำเป็นต้อง
ยืมมือของเอลฟ์ เลยแม้แต่น้อย ในชัยชนะครั้งนี้ พวกเอลฟ์ต่างเริ่มวิตกกังวล ถึง
ความแข็งแกร่ง ของมนุษย์ ฝ่าย มนุษย์เองก็ยังคงศึกษาเวทย์มนต์ชั้นสูงอยู่เรื่อยๆ
จนมาถึง สงครามครั้งสุดท้าย พวกออค ถอยร่นไปอยู่ที่เหนื่อสุดของอาณาจักรเอลเมอร์
ดาร์คเอลฟ์เองก็ไปจนสุดแผ่นดินทางทิศตะวันตกของอาเมอร์ ทุกอย่างจบลงด้วยชัยชนะ
ของพันธมิตร เอลฟ์ และมนุษย์ ออค  ถูกบังคับให้เซ็นสัญญา
สันติภาพแห่งความอับยศ  ผู้นำแต่ละเผ่าค่อยๆทยอยจากไป จนเหลือ ผู้นำของออค
เป็นคนสุดท้าย

      "เจ้าเอลฟ์โง่เง่า  ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้เป็นของเจ้า แต่เป็นของมนุษย์โสโครกพวกนั้น
ต่างหาก และหลังจากนี้ คิดหรือ ว่าจะควบคุมเจ้าอสูรกายพวกนี้ได้"

โอเวอร์ลอด  ผู้ำนำของออค ได้ทิ้งทายคำพูดก่อนจากไป




ปกรณัม : ลินเนจ 2 บทที่ 5 ปลดผนึก สปิคูล่าคามาเอล

สปิคูล่าคามาเอล ได้เปลี่ยนแปลงสถาณการณ์ทุกอย่างให้กลับตาลปัตรไปหมด!

            พลังอันยิ่งใหญ่ ของเทพธิดาแห่งแสงทั้ง 9 ไม่ได้ถูกออกแบบให้มาทำลาย
สปิคูล่า  กลับกันกับ สปิคูล่าต่างหาก ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ สังหารพระเจ้าโดยเฉพาะ

ด้วยปีกที่ทำให้ต่อสู้ได้ทัดเทียมกับเทพ ร่างกายที่เล็ก ทำให้ว่องไว และหลบหลีกได้ง่าย
แถมกายอาบด้วยพลังแห่งความมืด ที่เกิดจากความตาย ทำให้สามารถสร้างบาดแผล
ให้กับเหล่าเทพได้ไม่ยากเลย

             ในขณะที่ เหล่าเทพธิดาแห่งแสง ร่วมถึงไอฮัดซัส กำลังสับสนกับสิ่งที่เกิืดขึ้น
ตรงหน้า สปิคูล่า ตนหนึ่งได้หยิบ ดาบยักษ์ เอมานูแอลลิช ขึ้นมา ตวัดดาบขึ้นไปบน
ปลายฟ้า ด้วยพลังของดาบทำให้ท้องฟ้าฉีกออก และ เสื้อคลุมของไอฮัดซัส ที่ทำจาก
เทพธิดาองค์ที่ 2 เพื่อเป็นเกราะ ได้ขาดวิ่น เกิดบาดแผลขึ้น บนผิวกาย ที่ขาวพิสุธ ของ
เทพีไอฮัดซัส...

ไอฮัสซัสได้ถ่อยออกมาจาก สงครามพร้อมเทพธิดาทั้ง 9 นี้เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรก

          เหล่ายักษ์ได้ยินดีโห่ร้อง กันยกใหญ่กับความสำเร็จที่อยู่ตรงหน้าโดยหารู้ไม่ว่า...

"หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมาเยือนพวกเขา"

          เทพีไอฮัสซัสโกรธา มาก อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แม้เธอจะเคยเอ็นดูพวกยักษ์ แต่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า คามาเอล  และ สิ่งที่พวก ยักษ์ได้ทำ
ไอฮัสซัสไม่ลังเล ที่จะ ทำลายล้างเหล่า ยักษ์อีกต่อไป  และมุ่งหน้าไปหา
"Rain of Coloress Fires"
โดยไม่สนว่ามันจะ เพื่อมอบความตายให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้



เทพเจ้ากรังไคน์ รู้ทันและมาดักรอไว้ก่อนแล้ว เขาห้ามปรามไม่ให้ ไออัดซัสใช้ ด้วยเหตุผลที่ว่า
     
           "หน้าที่ทำลายล้างนี้...ไม่ใช่หน้าทีของเทพีผู้สร้าง "

          แต่กรังไคน์ก็รู้ดีว่าเพลิงแค้น ที่ลุกโชติในอก ไอฮัสซัส ไม่อาจสงบลงได้
มหาเทพกรังไคน์ยื่นขอเสนอ ให้ เธอ ยืม อาวุธประจำตัวของเขา และให้ใช้ได้
เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเมื่อไอฮัสซัด ได้ยินดังนั้น ท่าทีของเธอ จึงสงบลง ไม่ใช่
เพราะว่า เสียใจ หรือเคืองโกรธมหาเทพเธอกำลังดีใจมากกว่า เพราะ ไอฮัสซัส
รู้ดีว่า ด้วยอำนาจของ ค้อนดารา นั้น มันมากพอ ที่จะ ทำลายล้างสิ่งที่เธอต้องการ
ในชั่วพริบตา ไม่รอช้า ไอฮัสซัส มุ่งเป้าหมายไปที่ เมืองหลวงของยักษ์ ที่ขณะนั้น
กำลังฉลองชัยชนะ ที่มีชัยเหนือเทพเจ้าได้ ผลจาก ค้อนดวงดารานั้น ทำให้
กองทัพยักษ์ และ สปิคูล่าคามาเอล เสียชีวิตไปจนเกือบหมด ...

เหล่ายักษ์ที่เหลือได้หลบหนีจากแรงอาฆาตของไออัสซัสไปตามที่ต่างๆ

           สงครามแห่งแค้นของไออัสซัสค่อยๆปิดฉากลง เมื่อเหล่ายักษ์ค่อยๆล้มตาย และเปลี่ยน
ตัวเองเป็นยักษ์กาก จนเกือบหมด  และหลบไปยัง "ถ้ำยักษ์" (giant cave)



แต่ไอฮัดซัสยังไม่หยุดมือ และกำลังจะฆ่าเหล่ายักษ์พวก
สุดท้าย อาจจะด้วยความสงสาร หรืออะไรก็ตาม ทำให้ กรังไคน์ได้ล้อมขุนเขากั้นไออัดซัสเอาไว้ 
และ ขอร้อง นางให้ไว้ชีวิตยักษ์ที่เหลือ ยักษ์ตนสุดท้ายเอาไว้ ในที่สุดเธอก็ยอมรามือ และ หุบเขา
แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า  "หุบเขาสันติ" (Silent Valley)


ทุกอย่าง ควรจะสิ้นสุดลงตรงนี้...
หลังจากนั้น ไปหลายพันปี พลังของชิลเลน ที่ฝังตัวพร้อมกับสาวก ในโลกของคนตาย
กล้าแข็งมากขึ้น ไอฮัดซัส จำต้องใช้พลังมากขึ้นในการผนึกชิลเลน เทพีอีวา รู้เรื่องเหล่านี้ดี
ร่วมถึงรู้ด้วยว่า เพลิงแค้นของ ไออัดซัสได้เบาบางลงมาก

             อีวาคิดว่า พลังของ  นักฆ่าอมตะ (Immortal Killer) หรือ คามาเอล จะต้องจำเป็น
สำหรับ กาลภายหน้า  เธอจึงมี   ความคิดที่จะ ปลุกพลังของสปิคูล่า ออกจากการถูกสะกด 
จะเพราะเหตุบังเอิญ หรืออะไรก็มิทราบได้ เผ่าพันธ์ทั้ง 5 ได้ล่วงรู้ถึงการมีตัวตนของคามาเอล
เกือบจะพร้อมๆกัน เรื่องราวของคามาเอล ได้แพร่กระจาย ออกจากนักเดินทางดรอฟคนหนึ่ง  
เช่นเดียวกับที่ห้องหนังสือลับของรูน ได้พบข้อมูลบันทึกลึกลับ เกี่ยวกับคามาเอล และ มีงาน
วิจัยส่วนหนึ่งที่ถูกแปลแล้ว อยู่ที่หอคอยงาช้าง ถูกค้นพบในเวลาเดียวกัน
ตรงกับคำทำนายชอง เทพพยากรณ์ ซึ่งเขาได้คาดการณ์ไว้ว่า จะพบขุมพลังใหม่จากทิศตะวันตก
และข้อมูลนี้ก็ตรงกับ ข่าวลึกลับที่ชาวประมงได้พบเกาะลึกลับ ทางทิศนั้นพอดิบพอดี บรรดา
ผู้นำแต่ละเผ่าได้ออกไปรวบร่วมข้อมูลใหม่นี้และเอลฟ์ผู้รวดเร็วกว่าใคร ได้ทำการติดต่อ
ผู้นำ เผ่าอื่นๆ เพื่อหารือเรืองนี้ การประชุมได้ถูกจัดขึ้น และ มนุษย์ พวกเขาตัดสินใจ จะต้อนรับ
พวกเขาเหล่านี้ เพราะ คามาเอลในเวลานี้ได้เป็นคนของเทพีอีวาแล้ว และ พวกเขาตัดสินใจ
จะดำเนินชีวิตในรูปแบบเดิม มากกว่าจะต้องเผชิญหน้ากันแบบมอนสเตอร์





L2 thai ก่อน-หลังเปิดสงครามปราสาท

เป็นบทความที่คิดว่า...ไม่ค่อยกล้าจะเขียนเท่าไหร่เลย...
เนื้อหาต่างๆ  พาดพิงคนอื่นมากมาย  แต่ไม่เขียนมันก็คาใจจริงๆ...
และ สามเอง ก็เป็นคนเขียนเชิญชวน แนะนำคนอื่นเอาไว้ด้วย

L2 ที่ดีที่สุด เน้นระบบเดิม และความสมดุล คือ สิ่งที่คุณได้บอกและเราเลือกมาเพราะ
เชื่อคำพูดเหล่านั้น ในช่วงแรกๆ ปัญหาต่างๆมีเยอะมาก แต่ เราเข้าใจ และ คิดว่า เป็นการปรับตัว
หลายๆอย่างคงต้องใช้เวลา การผิดเพี้ยนของระบบ จากเควส หรือ มอนสเตอร์ จากไอเทม
หลายๆอย่างไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่จำเป็นต้องจู้จี้ (แต่ก็เผลอไปนิดๆ -.-)

พอบัคต่างๆถูกทิ้งไว้นานๆ มันค่อยๆกลายสภาพจากความผิดปกติ...

"กลายเป็นสิทธิ และ ผลประโยชน์"

ถ้าคุณไปตรงนี้ ทำอย่างนี้ คุณจะเก็บเลเวลไวนะ !
ถ้าคุณทำอย่างนี้ตรงนั้น ไอเทมหายาก จะหล่นลงมาง่ายๆนะ !

แต่... ถ้าคุณไม่ทำ ก็ช้า ก็จน ก็เสียเปรียบ เสียเปรียบไปเรื่อยๆ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

เวลาได้คุยกับคนเล่นใหม่ เกมส์ L2 เก็บเล่นง่ายดีนะ แล้วรู้สึกจี๊ดๆ แบบบอกไม่ถูก
ถ้าคุณเคยเล่น L2 จริง คุณจะรู้ว่า
"การเก็บเลเวลมันไม่ได้ง่าย" และ "การไม่ทำเควส มันก็ไม่ได้"
สำหรับการเก็บ เลเวล แต่ละเลเวล มันใช้เวลามาก ใครยังพอจำได้ไหม?
จากเลเวล 70 ไป 76 มันนานขนาดไหน เราเคยนั่งตีมอนกันเป็นวันๆ เป็นเดือนๆ
แต่ ละเลเวลที่ได้มา ช้ามาก ถึงมากที่สุด มันเป็นเพียง อดีต

            ตอนนี้ตัวเกมส์ ทุกอย่างถูกปรับ ให้ไปได้อย่างว่องไว เพื่อตามคนหลังๆได้
และ เพื่อต่อสู้กับเกมส์ใหม่ๆได้ เป็นเรื่อง ที่สามไม่ปฎิเสธ เพราะถึงปรับให้ไวยังไง
พอถึงช่วง 93 ขึ้นไป ก็เข้าสู้ช่วงยากลำบาก ยิ่งหลัง 95 ขึ้นไป นี้ยิ่งสนุกเลย

ส่วนเรื่องของเควส...   และเนื้อเรื่อง ที่ผู้เล่นควรได้รับ รู้สึกขาดหายไปเยอะ
เควสเปลี่ยนอาชีพ คลาส 3 - 4 ที่ทำได้แบบวิ่งผ่าน มันก็สะดวกนะ...แต่ก็แปลกๆดี

และจากเหตุผลเหล่านี้เอง จึงกลายมาเป็นมหากาฬ ดราม่า ของเซิฟ L2 thai โดยปริยาย
หลายเรื่องที่ยกมา ก็ค่อนข้างสำคัญกับความรู้สึก

ปล. เรื่องเหล่านี้นิ่งแล้ว (และได้รับการแก้ไขแล้ว)

1.Bug ปั๊ม EXP 200% + บัพมีขีดVPทำให้ ได้ตังค์เยอะ + ของดรอบง่าย
เป็นบั๊ค ที่ทำกันแทบทุกคนที่เลเวล หลัง 90 ถ้าถามว่าโกงไหม? ใช่โกง แต่เทียบกับที่เก็บเลเวล
ที่มีน้อยมาก และต้องรบราฆ่าฟัน /เสี่ยงชีวิตกันในตอนนั้น(หลัง 90 มีแต่ออบิส ที่เรียกได้ว่าที่เก็บเลเวล)
ได้ที่เวลปัป กดยา VP + ทำบั๊ค ก็ยังไม่วายไม่ค่อยได้เวล

  (ในภาพ ไปปาร์ตี้ในออบิส - - แล้ว มีคนในแคลนผีเสื้อมาสด อริในปาร์ตี้ และเข้ามาเก็บเลเวลด้วยกันพักนึง แต่ก็ยังดีที่เขา สดแค่อริ ไม่ได้ฆ่าล้างปาร์ตี้เหมือนบางแคลน)

2.พวกสกิลเตะ หรือ สกิลยก หากใช้ในตำแหน่งดีๆ มีโอกาส ลอยขึ้นฟ้าไปติดที่บึงมรณะได้
(โซ่ไนท์ด้วยอีกอัน)

(อันนี้ดวลกันเล่นที่ป้อม สังเกตหลังคาป้อมได้ - -)

(อันนี้ที่เขาออกมาด่ากราดกัน - - + เพือนในแคลนโดนไปด้วยคนนึง)

3.บัคล่าบอส ออบิส 95 ลงได้ 2 ครั้ง?
4.บัคอาวุธ 95 -99  + สกิลสายวิซาจ ที่ยิงที โอเวอร์ จะเพราะจากอะไร
สูตรคำนวณผิด บัพสกิล  หรือมันไม่มีเพดานเดมเมจ ตั้งแต่แรก เราก็ไม่รู้....
แต่ที่รู้คือ เดมเมจที่ทำได้  เอาคนทั้งเซิฟเวอร์มายืนกระจุกทีเดียวกัน แล้วให้วิมายิงหมู่
ทีเดียวคงตายกันทั้งเซิฟ
5.เรื่องบอสใหญ่ ที่ทางทีมงานไม่ได้เปิดให้ล่า (แต่สามารถคุยและเข้าพบได้เลย - -lll)
เท่าที่ทดสอบกับพี่ สอง  เควส เข้าพบ เกือบทั้งหมดถูกบล็อก
-เฟร่ย่าบล็อกเควสตรงตอนไปเอาดาบที่เหมืองมิลธิล
-อันธารัส บล็อกเควส ตรงที่ไม่มีมอนเควส ให้ล่าตรงที่ราบ
มีแต่วาลาคัส ที่ทำเควสได้จนจบ ได้หินลอยน้ำ

(ภาพนี้ได้มาตั้งแต่ตอนยังไม่ค่อยมีคนรู้+ไม่มีตะโกนด่า )


จากภาพ คงไม่ต้องบรรยาย - -lll  ตอนนั้นมีกระแส ให้รีเซิฟใหม่แรงพอสมควร แต่ดูจากเม็ดเงินที่เข้ามาในตัวเกมส์แล้ว ยากส์นะ หลายคนหมดกันไปเยอะทั้งเงิน เวลา  และ ความรู้สึก


6.บั๊คที่แรงที่สุด บั๊คเควส garden of genesis ที่ทำแล้วได้ EXP หลายพันล้าน EXP จนเลเวล 99 ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ช่วงแรก กระแส คนเลิกเล่น แรงมาก จากแคลนดังๆ ในช่วงนั้น
แม้ภายหลังจากทำการแบนตัวละคร และผู้ร่วมเหตุการณ์ไปแล้็วก็ กลับมากัน บางส่วน





(เอ่อ - - ที่จริงไม่ได้ตามติด ออนบ่อย หรือ อะไรหรอกนะ แต่ มาเจอช่วงสำคัญๆพอดีๆทุกที่ - -lll)



แต่ปัญหาดังกล่าวข้างต้น ได้รับการแก้ไขจนหมดแล้ว
หลังอัพแพทใหม่  

มาตราฐานหลายๆอย่าง ถูกปรับขึ้นมา จนค่อนข้างน่าพอใจ และตัดสินใจ เล่นต่อมาเรื่อยๆ
ส่วนผู้กระทำผิดก็ได้รับโทษไปแล้ว  แม้ตอนนี้จะยังคงมีปัญหาประปราย คนเล่นหดลงมาบ้าง
ตามกระแส ลบต่างๆ เวลตัน ,เบื่อ , ไม่มีที่เวล ,โดนหัวแดงจากไหนไม่รู้ไล่สด ทำให้คนหดลงมาบ้าง

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังดีอยู่ไม่เคยเปลี่ยน นั้นก็คือ...



ทางทีมงานยังคงออกมารับผิดชอบ อย่างดี แม้ปัญหาจะเยอะมากและแก้ปัญหาให้ทันที(ถ้าไม่หลับ 0.0)



กรณีของตัวละคร PK สูงสุด  สามว่าคนที่ออนตอนนั้นคงยังจำได้ ช่วงแรกที่ปรับให้หัวแดง มีค่ากรรมเยอะมากกกกก  จนหัวแดงสูญพันธ์ไปช่วงนึงเลย และ คุณ "อีสอย" เองก็ตะโกนให้ GM ช่วยล้างแดงให้ เพราะฆ่าคนมาชนิดที่ ล้างแดงกันเป็นชัวโมงก็ไม่หาย สุดท้าย  จีเอมก็ล้างแดงให้ด้วยการ แบน
เป็น Gm แบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนจริงๆ ^^



(ปล.หัวแดง ที่บึง-ทรนง   ตอนนี้กลับมาแล้ว แถมพัฒนาเป็นปาร์ตี้ฟูล ครบทุกอาชีพแล้วนะ  - -)


กลับมาที่ เหล่าทีมงาน อีกครั้ง



เมื่อเร็วๆนี้วันที่ 10 พย. 56  ได้เปิด สงครามปราสาทแล้ว
หมายถึงความพร้อมหลายๆอย่าง ร่วมทั้ง ความร้อนแรงของ บรรดาแคลนวอร์

(แต่สามไม่ได้ออน - -ช่วง 4โมง) มาช่วงค่ำๆ ไม่ทันเก็บภาพ
เห็นคร่าวๆว่ามีบัค วิซาจ ยิงทีหลักล้านอีกรอบ - -lll เลย รันเซิฟตอนสงครามรอบค่ำ





ทุกปัญหาคงไม่มีใครอยากให้เกิด  แต่เมื่อเกิดแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือการรับผิดชอบ ^^
เซิฟเวอร์นี้ก็ยัง น่าเล่นอยู่นะ 

ปล.ไวๆนี้ จะอัพวิธีการเก็บเลเวลแบบใหม่ล่าสุด หลังอัพแพทจ้า  =w=